News All

ปีศาจร้ายในตัวที่ทำให้ “สตู อันการ์” เป็นนักโป๊กเกอร์ที่บ้าดีเดือดสุดในประวัติศาสตร์

โป๊กเกอร์

โป๊กเกอร์

ในปัจจุบัน “นักโป๊กเกอร์” คือหนึ่งในอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะนอกจากไลฟ์สไตล์ที่ดูหวือหวาสนุกสนานแล้ว ยังสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลอีกด้วย แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้การฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงต้องมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง

ซึ่งหากถามว่ายากขนาดไหน ? ข้อมูลจากหนังสือ The Micro Stakes Playbook ที่ว่า “มีนักเล่นโป๊กเกอร์ไม่ถึง 5% ที่เก่งพอจนสามารถทำเป็นอาชีพได้” เท่านี้คงเกินพอ

ดังนั้นในปัจจุบัน เหล่ายอดฝีมือแห่งโลกโป๊กเกอร์จึงมักจะมีภาพลักษณ์เป็น “เนิร์ดคณิตศาสตร์” หรือ “เนิร์ดเกมการ์ด” เสียมากกว่า ตรงกันข้ามกับในภาพยนตร์ที่ส่วนใหญ่นักโป๊กเกอร์ชั้นเซียนจะมาในลุคเจ้าพ่อ มือซ้ายถือแก้วบรั่นดี มือขวาคีบซิการ์

อย่างไรก็ตามถ้าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20-30 ปีก่อน มีนักโป๊กเกอร์คนหนึ่งที่ภาพลักษณ์ของเขาไม่ต่างอะไรจากมาเฟีย เต็มไปด้วยความบ้าดีเดือดที่พร้อมปะทุได้ตลอดเวลา และที่สำคัญฝีมือการเล่นโป๊กเกอร์ของเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร การันตีด้วยการเป็นผู้ชนะรายการ World Series of Poker Main Event ซึ่งเปรียบเสมือน Super Bowl แห่งวงการโป๊กเกอร์ได้ถึง 3 สมัย มากที่สุดในประวัติศาสตร์

ชื่อของเขาคือ “สตู อันการ์” (Stu Ungar) … ติดตามเรื่องราวของสุดยอดนักโป๊กเกอร์ผู้มีปีศาจร้ายสิงอยู่ในตัวได้ที่ Lovepoker168.com
เก๋ามาตั้งแต่เด็ก

สตู อันการ์ เกิดเมื่อวันที่ 8 กันยายน 1953 ในครอบครัวชาวยิวที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในย่านแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และถ้าจะถามว่าชีวิตของเขาเริ่มเข้ามาข้องเกี่ยวกับการพนันและเกมไพ่ประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ … คำตอบก็คือนับตั้งแต่วินาทีที่เขาลืมตาดูโลกนั่นแหละ

โป๊กเกอร์

ครอบครัวของ สตู เปิดกิจการร้านรับแทงพนันชื่อ Foxes Corner นั่นทำให้เขาได้คลุกคลีกับบรรดาเซียนพนัน ได้เรียนรู้กฎกติกาวิธีเล่นพนัน รวมถึงเกมไพ่ประเภทต่าง ๆ มาตั้งแต่จำความได้ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้หรือเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดที่ทำให้ สตู เชี่ยวชาญวิชาคณิตศาสตร์ เขาฉลาดเป็นกรดในเรื่องของตัวเลข แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่นักเรียนคนโปรดของคุณครู เพราะทักษะการเข้าสังคมของเขาไม่ได้เก่งตามไปด้วย

ครอบครัวของ สตู ไม่ได้เลี้ยงดูเขาขึ้นมาอย่างอบอุ่นนัก ดังนั้นเขาจึงหมกมุ่นกับการพนันได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีใครคอยปรามหรือขัดขวาง และเป็นคุณแม่ของเขาเองนั่นแหละที่สอนให้เขารู้จักกับโป๊กเกอร์ตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ ยิ่งไปกว่านั้นในปีเดียวกันนั้นเอง สตู ก็กลายเป็นแชมป์ “ไพ่รัมมี่” ของนิวยอร์กโดยสามารถเอาชนะบรรดาผู้ใหญ่ที่แก่กว่าเขา 30-40 ปีได้อย่างไม่ยากเย็น

เมื่อรู้ตัวว่าพรสวรรค์ในเกมไพ่ของตัวเองสูงกว่าคนอื่น สามารถหาเงินจากมันได้ง่าย ๆ แล้วจะทนเรียนหนังสือไปทำไมล่ะ … คิดได้แบบนี้ สตู ก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนในขณะที่กำลังศึกษาชั้นเกรด 10 อยู่เพื่อออกมาเป็นนักพนันเต็มตัว

ในทุก ๆ วัน สตู ในวัย 15 จะตระเวนไปยังคลับการ์ดและคาสิโนต่าง ๆ ในนิวยอร์กเพื่อเล่นไพ่หาเงิน โดยจะเน้นไปที่ไพ่รัมมี่ที่เขาเชี่ยวชาญเป็นหลัก ก่อนจะกลับออกมาพร้อมเงินในกระเป๋าที่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าคืนละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ

“แววตาสิ้นหวังของพวกเขาที่หมดสิ้นหนทางชนะมันช่างสวยงามเหลือเกิน เมื่อไพ่ถูกแจกออกมา สิ่งที่ผมสนใจอย่างเดียวคือการทำลายฝั่งตรงข้ามให้สิ้นซาก”

“ผมเป็นคนบ้าที่อัจฉริยะ ผมคือ บ๊อบบี้ ฟิชเชอร์ ผมสามารถเล่นเกมไพ่ที่เพิ่งเรียนรู้กฎได้ 2 วัน ได้เชี่ยวชาญได้ราวกับเล่นมันมา 30 ปี ผมคือคนบ้าโดยธรรมชาติ” สตู กล่าวกับคนใกล้ชิด ก่อนที่ประโยคดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ออกมาในหนังสือ One of a Kind: The Rise and Fall of Stuey ‘The Kid’ Ungar, the World’s Greatest Poker Player

ความเก่งกาจในเกมรัมมี่ของ สตู เป็นที่โจษจัณฑ์ในหมู่นักพนัน จนสุดท้ายมันก็ไปเข้าหู “แฮร์รี่ สไตน์” (Harry Stein) หนึ่งในนักเล่นไพ่รัมมี่ที่เก่งที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ณ ขณะนั้น

“ผมได้ยินข่าวเกี่ยวกับเด็กอัจฉริยะ จึงไม่รอช้าที่จะไปพิสูจน์มันด้วยตัวเอง” แฮร์รี่ เล่าย้อนความหลัง

แฮร์รี่ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะมาบดขยี้เด็กเมื่อวานซืนให้สิ้นซาก จะสอนให้รู้ซึ้งว่าไพ่รัมมี่ระดับโลกเขาเล่นกันอย่างไร แต่เมื่อมาถึง แฮร์รี่ ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า สตู อันการ์ นั้นยังเด็กเหลือเกิน เด็กกว่าที่เขาคาดคิดไว้เยอะมาก สตู จำเป็นต้องนำลังไม้มาวางซ้อนบนเก้าอี้เพื่อให้สามารถนั่งเล่นไพ่รัมมี่บนโต๊ะขนาดผู้ใหญ่ได้ด้วยซ้ำ

การประลองฝีมือเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว สตู เอาชนะ แฮร์รี่ นักรัมมี่ดีกรีแชมป์ระดับประเทศไปด้วยคะแนน 86-0 … ไม่มีข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งนั้นสำหรับ แฮร์รี่ เขาพ่ายแพ้เด็กตัวกะเปี๊ยกในเกมที่เขาถนัดที่สุดอย่างหมดรูป และหลังจากนั้น แฮร์รี่ ก็เกษียณตัวเองออกจากวงการไพ่รัมมี่ไปเลย ไม่มีบันทึกว่าเขาเข้าร่วมการแข่งขันใด ๆ อีก

หลังจากที่ออกจากโรงเรียนมาเป็นนักพนันแบบเต็มตัว สตู ก็หาเงินได้จำนวนไม่น้อย แต่มันก็ยังไม่มากพอตามที่เขาต้องการ … ไม่สิ ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วความต้องการของชายคนนี้อาจไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้ ไม่ว่าจะชนะมาได้เท่าไร ก็ยิ่งอยากได้เพิ่มขึ้นไปอีก เขาเลยนำเงินที่ได้จากการเล่นรัมมี่ไปต่อยอดกับการพนันประเภทอื่น ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ก็ออกไปแนวขาดทุน ทำให้เงินที่ได้มามากมายจากรัมมี่ไม่ได้ทำให้ตัวของ สตู ฐานะดีขึ้นเลย

ไพ่รัมมี่ต่อให้เล่นเก่งยังไงก็ทำเงินได้ไม่มากเท่ากับไพ่โป๊กเกอร์ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ปี 1978 สตู ก็ออกเดินทางสู่ ลาส เวกัส เมืองหลวงแห่งการพนันของโลก

 

Stu “The Kid” Ungar

จะบอกว่า สตู เดินทางมา ลาส เวกัส เพื่อเล่นโป๊กเกอร์เพียงอย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะในช่วงแรก สตู ก็เล่นสลับกันไปเรื่อยๆ ระหว่าง โป๊กเกอร์, แบล็กแจ็ก, และ รัมมี่ แต่ด้วยฝีมือการเล่นรัมมี่ที่เก่งเกินไป รวมถึงมันสมองชั้นเลิศที่ถึงขั้นนับไพ่ในการเล่นแบล็กแจ็กได้ ทำให้คาสิโนต่าง ๆ เริ่มแบนเขาออกจากเกมรัมมี่และแบล็กแจ็ก สุดท้ายก็เหลือเพียงแค่โป๊กเกอร์เพียงอย่างเดียว
ในหนังสือ One of a Kind: The Rise and Fall of Stuey ‘The Kid’ Ungar, the World’s Greatest Poker Player ปรากฏข้อมูลว่าครั้งแรกที่ สตู มาถึง ลาส เวกัส เขาได้ไปที่โต๊ะโป๊กเกอร์เดิมพันสูงสุดของ Dunes Casino และเสียเงิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปในเวลาไม่ถึง 15 นาที แต่อย่างที่เขาเคยบอกไปว่าเขาคือคนบ้า หลังจากนั้น สตู ก็ใช้เวลาในการเล่นรวดเดียว 36 ชั่วโมงโดยไม่นอนเพื่อจะเอาเงินก้อนนั้นกลับมา และเขาก็ทำได้สำเร็จ พร้อมกับกำไรอีก 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

“เขาคือคนบ้า ห่าม ถ่อย แต่มาพร้อมกับสมองที่ทำงานได้ดีกว่าคนอื่น 99%” ไมค์ แซ็กตัน นักโป๊กเกอร์อาชีพ หนึ่งในสหายร่วมโต๊ะของ สตู ในช่วงปลายยุค 70s กล่าว

ในช่วงปลายยุค 70s เข้าสู่ต้นยุค 80s สตู ใช้เวลาแทบทั้งหมดที่เขามีไปกับการสิงอยู่ที่โต๊ะโป๊กเกอร์ หาเงินจากมันไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็มักจะจบลงแบบเดิมเสมอ นั่นคือไม่ว่าจะหาเงินจากโป๊กเกอร์ได้เท่าไหร่ เขาก็มักจะผลาญมันไปกับการพนันชนิดอื่นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามด้วยฝีมือโป๊กเกอร์ที่หาตัวจับได้ยาก รวมถึงบุคลิกที่หวือหวา น่าสนใจ แตกต่างจากคนอื่น ทำให้เจ้าของฉายา The Kid (ฉายานี้มีที่มาจากการที่ สตู เป็นคนตัวเล็ก แถมยังมีแก้มเรียวตอบ ใบหน้าจึงดูเด็กกว่าวัยเสมอ) เริ่มได้รับการจับตามอง
ใน ลาส เวกัส ยุคปัจจุบัน ถ้ามีใครสักคนที่เล่นโป๊กเกอร์เก่ง และมีบุคลิกห่ามถ่อย ก็มักจะมีคนพูดอยู่เสมอว่า ‘นั่นมัน สตู คนต่อไปนี่’ หรือ ‘คนนั้นเหมือน The Kid’ เลยอยู่เสมอ”

“ผมจะบอกให้ว่ามันเหลวไหลสิ้นดี ไม่มีใครเทียบกับ สตู ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องบุคลิกส่วนตัวหรือฝีมือการเล่น เขาคือตำนานอย่างแท้จริง ถ้าเขาได้ยินเขาคงมาฆ่าคนที่พูดแน่ รับประกันเลย” บ๊อบบี้ บอลด์วิน แชมป์โป๊กเกอร์ช่วงยุค 70s กล่าวกับ The New York Times

เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ในปี 1980 สตู ก็ได้รับการติดต่อจากชายที่ชื่อ บิลลี่ แบ็กซ์เตอร์ นักโป๊กเกอร์อาชีพและนักธุรกิจ โดยเขาได้ยื่นข้อเสนอว่าจะจ่ายเงินค่าสมัครให้ สตู เพื่อลงแข่ง World Series of Poker Main Event ทัวร์นาเมนต์โป๊กเกอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสปอนเซอร์ให้ทุกอย่าง และถ้า สตู สามารถชนะ หรือได้เงินรางวัลกลับบ้าน ก็จะเอาเงินนั้นมาแบ่งกันตามส่วนที่ตกลงกันไว้

ไม่มีเหตุผลใดที่ สตู จะต้องปฏิเสธ ข้อเสนอนี้มีแต่ได้กับได้ ดังนั้นใน World Series of Poker Main Event ปี 1980 จึงเป็นครั้งแรกที่มีชื่อของ สตู อันการ์ เข้าร่วมการแข่งขัน

บางคนอาจจะต้องการ Third Time Lucky แต่สำหรับ The Kid ไม่จำเป็น เพราะเพียงการเข้าร่วมครั้งแรก สตู ก็สามารถเอาชนะนักโป๊กเกอร์อีก 72 คนที่เข้าร่วม ซึ่งส่วนใหญ่คือคนที่มีฝีมือระดับแนวหน้าของโลกแทบทั้งสิ้น
“หมอนี่มาพร้อมกับสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ดูเผิน ๆ อาจจะเหมือนที่เล่นไม่เป็นด้วยซ้ำ เพราะเขา Agressive (หมายถึงสไตล์การเล่นโป๊กเกอร์ที่พร้อมจะบลัฟตลอดเวลา) เกินไป แต่ทุกการกระทำผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว และเมื่อรวมเข้ากับบุคลิกห่าม ๆ ของเขา ยิ่งทำให้การบลัฟแต่ละครั้งน่ากลัวจนไม่มีใครอยากสู้ด้วย” ดอยด์ บรุนสัน (Doyle Brunson) ตำนานปรมาจารย์โป๊กเกอร์ที่ยังมีลมหายใจ และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการแข่งขัน World Series of Poker Main Event ปี 1980 กล่าว

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในการเข้าร่วมครั้งแรก สตู ก็สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ พร้อมกวาดเงินรางวัลกลับบ้านไป 385,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ถ้าคิดว่าแค่นี้สุดยอดแล้ว … บอกเลยว่าคุณคิดผิด

หลังจากคว้าแชมป์ในปี 1980 ปีต่อมา สตู อันการ์ ก็เข้าร่วมการแข่งขัน World Series of Poker Main Event อีกครั้ง พร้อมหมายมั่นปั้นมือว่าจะป้องกันแชมป์ให้จงได้ ซึ่งในเวลาดังกล่าวยังไม่มีใครทำได้สำเร็จ (ตามสถิติ นักโป๊กเกอร์ชื่อ จอห์นนี่ มอสส อาจจะเคยทำได้ แต่ในสมัยนั้นระบบการแข่งขันยังเป็นการโหวตเพื่อหาผู้เล่นที่ดีที่สุด ไม่ใช่การแพ้คัดออกไปเรื่อย ๆ จนถึงคนสุดท้ายเหมือนในยุคหลัง)

ในปี 1981 มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 75 คน และก็เหมือนภาพฉายซ้ำ เมื่อ สตู ค่อย ๆ จัดการคู่ต่อสู้ไปทีละคนทีละคน ด้วยความดุดันอันรอบคอบ สุดท้ายไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า สตู สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ พร้อมกวาดเงินกลับบ้านไปอีก 370,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ชัยชนะในครั้งนี้ทำให้ชื่อ สตู อันการ์ กลายเป็นนักโป๊กเกอร์ที่เก่งที่สุดในโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหมือนว่าชีวิตการเป็นนักโป๊กเกอร์ของเขาจะกำลังรุ่งสุดขีด ในช่วงต้นยุค 80s มีบันทึกว่า สตู เอาชนะรายการโป๊กเกอร์ต่าง ๆ ได้มากถึง 10 รายการ จากเพียง 30 รายการเท่านั้นที่เขาเข้าร่วม
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่จะมีนักโป๊กเกอร์ชนะได้ 10 รายการ แต่ที่แปลกคือคนอื่น ๆ ใช้เวลากว่า 20 ปีถึงจะทำเช่นนั้นได้ แต่ สตู กลับใช้เวลาน้อยกว่านั้น 10 เท่า” ไมค์ แซ็กตัน นักโป๊กเกอร์อาชีพกล่าว

สวนทางกับพฤติกรรมส่วนตัวที่กำลังดิ่งลงเหวอย่างหนัก โดยในช่วงเวลากังกล่าว สตู เริ่มประสบปัญหาติดยาเสพติด โดยเฉพาะโคเคน ถึงแม้ว่าในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเขาจะแต่งงานกับหญิงสาวที่ชื่อ เมเดลีน วีลเลอร์ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย

“ฉันทำใจอยู่แล้วว่าจะเจอกับอะไรแบบนี้”

“เขามักจะหายตัวไปเป็นวัน ๆ ไปเล่นไพ่ที่ไหนสักแห่งโดยที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ไหน” เมเดลีน ออกมาเผยเรื่องนี้ในภายหลัง

ในการแข่งขัน World Series of Poker Main Event ปี 1982 สตู ก็เข้าร่วมด้วยเช่นเคย เพียงแต่ว่าเมื่อเหลือ 9 คนสุดท้าย เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ปรากฏตัวตามเวลานัด ก่อนที่สุดท้ายจะพบว่าเขานอนเมาตัวเปลือยเปล่าอยู่ในห้องพัก ทำให้ถูกจับแพ้ฟาวล์ไป และได้เพียงอันดับ 9 เท่านั้น

นี่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ตอนนี้ปีศาจร้ายในตัว สตู อันการ์ พร้อมแล้วที่จะคร่าชีวิตเขา

 

The Comback Kid

ในช่วงกลางยุค 80s ไปจนถึง 90s สตู ก็ยังคงใช้ชีวิตไม่แตกต่างจากเดิม ในแต่ละวันเขาจะใช้เวลาหมดไปกับคาสิโน หาเงินได้จากโป๊กเกอร์ แล้วก็ไปเสียกับอย่างอื่นจนหมด มีการคาดการณ์ว่าตลอดชีวิตของ สตู เขาสามารถหาเงินได้จาก โป๊กเกอร์, รัมมี่, และแบล็กแจ็กได้มากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ทุกครั้งที่ได้เงินมันจะถูกผลาญไปอย่างรวดเร็ว แต่ที่เลวร้ายไปกว่าเดิมคือเขาเริ่มติดโคเคนอย่างหนัก เพราะเสพแล้วสามารถเล่นไพ่ติดต่อกันได้ในระยะเวลานาน รวมถึงเริ่มมีพฤติกรรมใช้จ่ายเกินตัว
เมเดลีน ภรรยาของ สตู เล่าให้ฟังว่าทุกครั้งที่ไปรับประทานอาหารนอกบ้าน สตู จะทิปกับบริกรครั้งละไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทิปพนักงานเปิดประตูอีก 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ และทิปพนักงานโบกรถอีก 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนั้น สตู ยังออกรถสปอร์ตจากัวร์คันใหม่เอี่ยมด้วย ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนถังแตก สุดท้ายแล้วด้วยพฤติกรรมที่ย่ำแย่เกินทน เธอจึงตัดสินใจหย่ากับเขาไปในปี 1986 มีเพียง สเตฟานี่ ลูกสาวที่ทั้งคู่ให้กำเนิดซึ่งเป็นโซ่คล้องความสัมพันธ์ให้ทั้งคู่ยังติดต่อกันในฐานะเพื่อน (อันที่จริง สตู ได้รับอุปการะ ริชี่ ลูกติดของ เมเดลีน เป็นลูกบุญธรรมด้วยอีกคน ทว่า ริชี่ เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายไปในปี 1989)

“เขาติดพนันเกินไป เขาพร้อมจะทุ่มเงินเป็นล้านดอลลาร์ในการพนันกีฬาสุนัขวิ่งแข่ง ทั้ง ๆ ที่เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย” ไมค์ แซ็กตัน กล่าว

ชีวิตในช่วงปลายยุค 80s ไปจนถึงกลางยุค 90s ไม่ได้ปรากฏข้อมูลมากมายนัก เนื่องจาก สตู เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยไปวัน ๆ ชีวิตมีแค่การเสพยาเสพติดและการพนัน โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่ากำลังนำพาตัวเองลงเหวไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่งในปี 1997 สตู ก็กลายเป็นคนถังแตกโดยสมบูรณ์ มีหลายคนพบเห็นเขาเมาและนอนอยู่ข้างถนนไม่ต่างอะไรจากคนไร้บ้านเป็นประจำ อย่างไรก็ตามยังมีหนึ่งคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา นั่นคือ บิลลี่ แบ็กซ์เตอร์ เพื่อนที่เคยจ่ายเงินค่าสมัคร World Series of Poker Main Event ปี 1980 ให้ สตู ซึ่งคราวนี้เขากลับมาพร้อมข้อเสนอเดิม
บิลลี่ พร้อมจะเป็นสปอนเซอร์ออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการแข่งขัน World Series of Poker Main Event ปี 1997 และถ้าชนะ ได้เงินรางวัลมาเท่าไรก็แบ่งกันคนละครึ่ง … แน่นอนว่า สตู ไม่ปฏิเสธ

สตู อันการ์ ปรากฏตัวใน World Series of Poker Main Event ปี 1997 ในสภาพที่ทุกคนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ร่างกายเขาทรุดโทรมอย่างหนัก ผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แก้มตอบ และจำเป็นต้องใส่แว่นกันแดดสีน้ำเงินตลอดเวลา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากจมูกของเขาที่ถูกโคเคนทำลายไปแล้ว ไม่เหลือเค้าเดิมของ The Kid ผู้หล่อเหลา

“ถึงผมจะได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งถ้าเขาชนะ แต่ตอนนั้นผมอยากช่วยเหลือเขาจริง ๆ ถ้าเขาชนะ เขาจะได้มีเงินไปต่อยอดใช้ชีวิต และหวังว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองได้”

“ตอนแข่งผมต้องเฝ้าดูเขาอย่างใกล้ชิด และซื้อกาแฟมาให้เขาดื่มตลอดเวลา เพราะเขาเหมือนคนที่พร้อมจะฟุบหลับไปได้ทุกเมื่อ” บิลลี่ แบ็กซ์เตอร์ กล่าวย้อนความหลัง
ถ้าคิดว่าการคว้าแชมป์ World Series of Poker Main Event สองครั้งแรกของ สตู นั้นยากแล้ว ครั้งนี้ยากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะสภาพร่างกายที่ไม่เต็มร้อย รวมถึงจำนวนผู้เข้าแข่งขันที่มีมากถึง 312 คน

ในช่วงแรกของการแข่งขัน สตู เหมือนคนที่ยังไม่ตื่นนอน เขาเล่นพลาด เล่นในจังหวะที่ไม่ควรเล่นหลายครั้ง แต่ก็ยังประคองตัวรักษาชิปที่มีไว้ได้ แต่เมื่อเข้าสู่วันที่ 2 ของการแข่งขัน … เสือก็ยังคงเป็นเสือ การเล่นของ สตู ค่อย ๆ เฉียบคมขึ้นเรื่อย ๆ ไล่งับเหยื่อไปทีละคน ทีละคน จนสุดท้ายปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น สตู คว้าแชมป์ World Series of Poker Main Event สมัยที่ 3 ในชีวิตตัวเองได้สำเร็จ จารึกประวัติศาสตร์เป็นราชาแห่งการแข่งขันนี้โดยสมบูรณ์ พร้อมกวาดเงินรางวัลกลับบ้านไป 2,078,838 ดอลลาร์สหรัฐฯ (แบ่งคนละครึ่งกับ บิลลี่ แบ็กซ์เตอร์)

“ผมสัญญากับลูกสาวผมไว้ว่าผมจะเอาชนะ WSOP เป็นสมัยที่ 3 เพื่อเธอ ทุกช่วงการพัก ผมจะโทรหาเธอพร้อมรายงานว่าตัวเองเหลือชิปเท่าไร” สตู อันการ์ ผู้มีฉายาใหม่ที่สื่อตั้งให้ว่า “The Comeback Kid” ให้สัมภาษณ์หลังคว้าแชมป์

ถ้านี่เป็นภาพยนตร์ เรื่องราวทั้งหมดคงกำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงตอนจบที่มีความสุข สตู ใช้เงินก้อนดังกล่าวตั้งตัว เลิกยาเสพติด กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาว กลายเป็นคุณพ่อจอมแสบ ขับรถไปส่งเธอที่โรงเรียน … แต่น่าเสียดาย ที่นี่คือชีวิตจริง
ผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่

ถึงจะให้สัมภาษณ์ไว้ดิบดี แต่สุดท้ายเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เขาได้มาจากการเป็นแชมป์ก็หมดลงอย่างรวดเร็ว (ไม่มีการระบุเวลา แต่สื่อทุกสำนักเน้นย้ำคำว่า Very Soon อย่างชัดเจน ก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่าเร็วขนาดไหน) … แน่นอนว่าเพราะการพนันอีกเช่นเคย
ในมุมมองของทุกคนซึ่งเป็นคนนอก ยังไงก็ไม่มีทางเข้าใจว่าทำไม สตู จึงกลับตัวกลับใจไม่ได้สักที เขาเลือกเส้นทางชีวิตผิดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าพิจารณาชีวิตของ สตู มาตั้งแต่เด็กอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการโตมาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายสุดขีด ไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว สูญเสียพี่ชายคนสนิทไปตั้งแต่อายุ 14 หลังจากนั้นสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ก็ทยอยเสียชีวิตตามไป ทั้งพ่อและแม่ หย่ากับภรรยา … ด้วยเหตุนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไม สตู ถึงมีชีวิตแบบนี้

หลังจากคว้าแชมป์ในปี 1997 สตู ก็หายตัวไป เขาไม่ค่อยมาสิงตามคาสิโนเหมือนที่ผ่านมา จนกระทั่งในเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน 1998

พนักงานโรงแรม Oasis Motel ในย่านชานเมือง ลาส เวกัส ได้พบศพชายวัยกลางคนนอนเสียชีวิตอยู่ในห้องพักหมายเลข 6 เมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุก็ได้ทราบว่าชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า สตู อันการ์ อายุ 45 ปี ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง หาเลี้ยงชีพด้วยการพนันเป็นหลัก สาเหตุการเสียชีวิตมาจากใช้ยาเกินขนาด

สิ่งเดียวที่พบอยู่ในกระเป๋าเงินของ สตู คือเงินจำนวน 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ และนั่นคือเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตของเขา

ข่าวดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแวดวงนักโป๊กเกอร์ เพราะถึงแม้จะมีภาพลักษณ์เป็นจอมเสพเพล แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สตู คือหนึ่งในนักโป๊กเกอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
“ทุกคนเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครแปลกใจกับมัน” ดอยด์ บรุนสัน แสดงความคิดเห็น

“น่าเสียดาย ถ้า สตู อันการ์ ยังอยู่นะ” นี่คือประโยคที่พบเห็นได้บ่อยอย่างยิ่งตามสังคมโป๊กเกอร์ต่าง ๆ ทุกคนต่างเสียดายกับการจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรของ The Kid ด้วยบุคลิกและฝีมือของเขา ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงกลายเป็นสุดยอดตำนานได้ไม่ยาก มีหลายคนอยากเห็นนักโป๊กเกอร์รุ่นใหม่อย่าง ฟิล ไอวี่ย์ (Phil Ivey) ที่มีภาพลักษณ์เป็นเจ้าทฤษฏี มีแผนการแยบยล มาวัดฝีมือกับ สตู อันการ์ ผู้มีภาพลักษณ์โผงผางสไตล์มาเฟีย พร้อมการเล่นดุดัน ใครจะเป็นผู้ชนะ … แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีวันเกิดขึ้น

มาถึงตรงนี้เรื่องราวของ สตู อันการ์ น่าจะเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตชั้นดีให้กับใครหลายคน ที่ไม่ว่าจะเก่งกาจมีพรสวรรค์ขนาดไหน แต่การเลือกทางเดินชีวิตที่ผิดพลาด มันก็อาจจะฉุดดึงให้ลงสู่หลุมดำของชีวิตที่ไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้อีกเลย
ร่างของ สตู อันการ์ ถูกฝังไว้ที่ Palm Valley View Memorial Park ใน ลาส เวกัส โดยที่ป้ายหลุมศพของเขาสลักไว้ว่า

“สตู อันการ์
ชายผู้ยิ่งใหญ่ แต่เป็นผู้แพ้ที่ยิ่งใหญ่กว่า”

 

Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *